
คุณย่าบุญเรือน โตงบุญเติม – ฆราวาสผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม
แม่นางกวัก มงคลมหาลาภ เนื้อดิน คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
ออกวัดสารนาถธรรมาราม จ.ระยอง ปี ๒๔๙๙


คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๗ ตรงกับวันอาทิตย์เดือน ๔ ปีมะเมีย ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลา ๑๑.๒๐ น. บิดาชื่อนายยิ้ม กลิ่นผกา มารดาชื่อ นางสวน กลิ่นผกา สถานที่เกิดอยู่ในคลองสามวา อำเภอมีนบุรี กรุงเทพฯ ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่ตำบลบางปะกอก อำเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรี มีฐานะทางบ้านเป็นชาวสวน ท่านได้เติบโตในละแวกบ้านชาวสวนจนเติบใหญ่ บิดาของท่านมีภริยาทั้งสิ้นสามคน ภรรยาคนแรกมีบุตรสองคนคือ นางอยู่ (หรือ ทองอยู่) กลิ่นผกา เป็นพี่สาวของท่าน ซึ่งได้สิ้นชีวิตไปนานแล้ว คนต่อมาคือคุณแม่บุญเรือน ภรรยาคนที่สองชื่อนางเทศ มีบุตรสามคน คือนายเนื่อง นางทองคำ นางทิพย์ ฯลฯ ภรรยาคนที่สามไม่มีใครจำชื่อได้ จำไม่ได้ทั้งว่ามีบุตรชายและหญิงหรือไม่

ชีวิตยามเยาว์
คุณแม่บุญเรือน ท่านได้รับการศึกษาให้รู้ภาษาไทยสมควรกับอัตภาพพอเหมาะสมกับสมัย ได้รับการฝึกสอนอบรมจากบิดามารดา ท่านมีความสามารถในการทำกับข้าวมีรสโอชาหลายอย่าง เช่น น้ำพริก ท่านปรุงได้รสอร่อยเป็นอันมาก นอกนั้นอาหารจำพวกแกง และ ต้ม หลายชนิด ท่านก็สามารถทำได้อย่างดี นอกจากนี้ก็ยังมีความสามารถในการเย็บจักร ตัดเสื้อผ้า ตัดผมได้ เมื่อคุณแม่บุญเรือนอายุได้ ๑๕ ปีเศษ ซึ่งเป็นวัยรุ่นสาว ท่านได้รับการฝึกสอนจากชีวิตในครอบครัวให้รู้จักการ “นวด” เนื่องจากปู่ของคุณแม่บุญเรือนผู้ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า “อาจารย์กลิ่น” เป็นหมอนวดผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น จนกระทั่งเมื่อ “อาจารย์กลิ่น” ท่านเห็นว่าได้ประสิทธิประศาสน์วิชาได้ประมาณหนึ่งแล้วท่านจึงได้ “ครอบวิชาหมอนวด” และมอบตำราหมอนวดให้เป็นสมบัติสืบทอดแก่คุณแม่บุญเรือน โดยตำราดังกล่าวได้มีข้อห้ามไว้ว่า การนวดตามตำรานี้จะเรียกร้องเงินทองเป็นค่าจ้างไม่ได้ สุดแล้วแต่ผู้รับการนวดจะให้เองโดยสมัครใจเท่านั้น ในสมัยต่อมา เมื่อคุณแม่บุญเรือนได้สำเร็จธรรมแล้ว ท่านก็ได้ใช้วิธีรักษาด้วยการอธิษฐานธรรม และอธิษฐานสิ่งของต่างๆ เพื่อใช้ในการรักษาโรคตามวิธีการของท่าน ปรากฏว่ามีโรคภัยไข้เจ็บหลายชนิดที่ท่านใช้วิธีนวดเข้าช่วยด้วย เช่น คนไข้คนหนึ่งเป็นไส้ติ่งอักเสบ ท่านก็ได้อธิษฐานปูนทาและการนวดประกอบกัน และประสบผลสำเร็จในการรักษาอย่างน่าอัศจรรย์
ในช่วงสมัยวัยรุ่นของท่านนั่นเอง ท่านได้รับการแนะนำให้รู้จักพระภิกษุรูปหนึ่ง ที่วัดบางปะกอก พระภิกษุรูปนั้นคือพระอาจารย์พริ้ง (พระครูประศาสน์สิกขกิจ) ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่าน พระอาจารย์พริ้งนี้เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาก เป็นพระอาจารย์องค์หนึ่งของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และเมื่อท่านรู้จักหลวงลุงของท่านแล้ว ท่านก็ได้นำภัตตาหารและและเครื่องไทยทานต่างๆ ไปถวายพระอาจารย์พริ้งอยู่เสมอๆ ทำให้ท่านได้รับการสั่งสอนให้รู้จักธรรมะ และคุณธรรมในการดำเนินชีวิตตามแนวคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้เริ่มเลื่อมใสศรัทธา และรักงานบุญงานกุศลมากขึ้น ทั้งน่าจะถือได้ว่าเป็นปฐมเหตุสำคัญประการหนึ่ง ที่ทำให้ท่านบำเพ็ญกรณียกิจ เป็นนักบุญในพระพุทธศาสนาในสมัยต่อมา
ชีวิตสมรส




เมื่อคุณแม่บุญเรือนมีอายุพอสมควร ก็ได้ทำการสมรสกับ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม ซึ่งเป็นตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลสัมพันธวงศ์ ตั้งอยู่บริเวณสามแยกเจริญกรุง อยู่ห่างจากวัดสัมพันธวงศ์ เพียง ๓๐๐ เมตรเศษชีวิตสมรสของคุณแม่บุญเรือน นับว่าเต็มไปด้วยความเรียบร้อยและราบรื่น เล่ากันว่าสามีของท่านเป็นผู้เอาอกเอาใจท่านดีผู้หนึ่งแต่ไม่มีบุตรธิดาด้วยกันเลย คุณแม่ได้รับอุปการะเด็กหญิงชายอื่นอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่มีผู้ที่ท่านอุปการะมาแต่เยาว์วัยตลอดมาจนเติบใหญ่ คนหนึ่งในฐานะบุตรบุญธรรม คือ เด็กหญิงอุไร จนอายุ ๑๙ ปี นางสาวอุไรจึงได้เข้าพิธีสมรสกับ ร.ต.ท.เต็ม คำวิเทียน นางอุไร กับ ร.ต.ท. เต็ม อยู่กินกันมาจนมีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อว่า นิดา คำวิเทียน ซึ่งเป็นหลานยายที่คุณแม่บุญเรือนให้ความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง ในระหว่างครองชีวิตร่วมกับ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม คุณแม่บุญเรือนได้ประกอบอาชีพช่วยสามีด้วยการรับตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยจักร ตามความชำนาญที่ท่านได้ฝึกฝนมาแต่เดิม นอกเหนือจากการตัดเย็บเสื้อผ้าที่ท่านทำเป็นอาชีพแล้ว ท่านยังรักษาโรคโดยการนวด ซึ่งท่านทำเป็นการกุศลโดยไม่รับสินจ้าง และท่านยังมีความสามารถในการทำคลอด หรือเป็นหมอตำแยแผนโบราณด้วย ซึ่งทำให้ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากในขณะนั้น
อธิษฐานจิต
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นผู้มีพลังจิตสูงมหัศจรรย์ยิ่ง ที่ท่านโด่งดังที่สุด ก็คือ การใช้พลังจิตรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไป และนวดเส้นจับเส้น
การอธิษฐานจิต ของคุณแม่บุญเรือน แยกออกเป็นลักษณะใหญ่ๆ ได้ ๓ ลักษณะ
๑.อธิษฐานด้วยสัจวาจา
๒.อธิษฐานสิ่งของทั่วไป
๓.อธิษฐานของพิเศษเป็นครั้งคราว
– นวดรักษาโรคภัย
– บำบัดให้หาย
ฃ
– ล่องหน
– หมั่นฝึกกายฝึกวาจา
– คนศรัทธาช่วยสร้างสถาน
-เพื่อประโยชน์มวลมนุษย์
-อธิษฐานจิตให้ศักดิ์สิทธิ์
-รักษาด้วยวาจาสิทธิ์
คุณแม่บุญเรือน เป็นผู้มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ มีกุศลจิต ต้องการขจัดความทุกข์คือความเจ็บปวดเจ็บไข้ได้ป่วย ของบุคคลทั้งหลาย โดยมิได้มุ่งหวังสิ่งตอบแทนประการใด และมิได้เลือกชั้นวรรณะด้วย ให้การรักษาเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะใครมาแต่ไหนก็ตาม
ปูนและน้ำอธิษฐาน ของคุณแม่บุญเรือนนี้ รักษาโรคได้ทุกอย่าง ผู้ใดมีจิตเลื่อมใส เชื่อมั่น ย่อมได้ผลอย่างรวดเร็ว
นอกจากดิฉันจะรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งหายได้ผลดี โรคหืดซึ่งดิฉันเป็นเสมอ พอถึงฤดูหนาวต้องหอบหืดอย่างทรมาน พอได้ปูนอธิษฐาน ของคุณแม่บุญเรือนมาทาที่หน้าอกและทาบริเวณคอแทบทุกคืน โรคหืดได้หายไป ผิวหน้าซึ่งเสียเพราะถูกแดด เนื่องจากต้องฝึกซ้อมกีฬาให้โรงเรียน ตามหน้าที่ของครูพลศึกษา โรงเรียนศึกษานารี ทำให้ผิวหน้าแห้ง มักจะเป็นจุดรอยด่างๆ เสมอนั้น บัดนี้ดีขึ้น เพราะทาปูน นับเป็นความมหัศจรรย์ที่น่าเลื่อมใสยิ่งนัก
รู้วาระจิต
นายดิส กิจไพบูลย์ เจ้าของห้างขายยากิจไพบูลย์โอสถ ถนนจักรวรรดิ พระนคร ได้บันทึกไว้ว่า
ข้าพเจ้าได้ทราบว่า อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม สามารถอธิษฐานได้ จึงได้ไปเยี่ยมท่านที่บ้าน “สามัคคีวิสุทธิ” ในการไปเยี่ยมครั้งที่สอง
ข้าพเจ้า ได้ปรารภถึงเรื่องการสร้างสระน้ำรับประทาน ซึ่งข้าพเจ้าได้ร่วมมือกับประชาชนจัดสร้างขึ้นที่วัดคูบัว ตำบลพิหารแดง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี และปรารถนาให้น้ำในสระนี้ศักดิ์สิทธิ์ หากผู้ใดได้ดื่มน้ำในสระนี้แล้ว จะมีใจเป็นกุศลเป็นธรรม รู้จักคุณของผู้มีคุณ ปราศจากโรค ร่ำรวยเป็นเศรษฐี
คุณแม่บุญเรือน จึงบอกให้ข้าพเจ้าหาหินมาก้อนหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงมาเป็นครั้งที่ ๓ ในวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าก็นำหินมาให้ท่าน คุณแม่บุญเรือนได้บอกว่า “ต้องอธิษฐานถึง ๗ เสาร์ถึงจะใช้ได้”
เมื่อได้มอบศิลากรวดให้แล้ว ข้าพเจ้าก็ลาท่านกลับบ้าน พร้อมกับเรียนท่านว่าคราวนี้หลายวันกว่าผมจะกลับมาอีก” แต่ครั้นถึงตอนเย็นในวันรุ่งขึ้นเวลาบ่าย ๔ โมงเศษ ให้เกิดความร้อนใจอยากไปหาคุณแม่บุญเรือนอีก
ข้าพเจ้าได้ไปถึงบ้านสามัคคีวิสุทธิเวลา ๕ โมงเย็น ตามเวลาที่นัดพระนิมนต์ไว้ แต่พระยังไม่มาเพราะ พล.ต.ท. หลวงวิฑิตกลชัย ไปรับพระที่วัดอนงคารามช้าไปเล็กน้อย
คุณแม่บุญเรือนบอกว่า “ไหนละคุณดิส ว่าอีกหลายวันจึงจะมาหาอย่างไรล่ะ”
ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้สึกสะดุ้งใจขึ้นมาทันทีทีเดียว เพราะข้าพเจ้าไม่ควรจะต้องมาคอยให้ครบ ๗ เสาร์เสียก่อน และไม่ทราบเลยว่า คุณแม่บุญเรือนได้นิมนต์พระมาเจริญพุทธมนต์ในวันเสาร์นั้นเป็นวันเสาร์แรก และจะทำต่อไปทุกวันเสาร์จนครบ ๗ เสาร์ ไม่ทราบว่าอะไรไปดลใจให้ข้าพเจ้ามาในเสาร์แรกเช่นนั้น
คุณแม่บุญเรือนได้บอกอีกว่า “ฉันนิมนต์พระสงฆ์มานี้จะไม่ถวายแม้แต่ค่ารถ”
ขณะที่พระสงฆ์กำลังเจริญพระพุทธมนต์จวนจบ ข้าพเจ้าก็ลุกจากที่นั่งเดินไปหาคุณแม่บุญเรือน ซึ่งนั่งอยู่นอกห้องที่พระสวดมนต์อยู่ คล้ายกับว่าท่านนั่งรอคอยรับเรื่องของข้าพเจ้าอยู่แล้ว
“คุณแม่ไม่ถวายปัจจัยแด่พระที่มาเจริญพุทธมนต์ คนอื่นถวายได้ไหมครับ” ข้าพเจ้าเรียนถามท่านแต่พอเบาๆ
“ฉันไม่รู้ด้วย” คุณแม่บุญเรือนตอบ“ถ้ามีใครถวายจตุปัจจัยแด่พระสงฆ์ที่มาเจริญพุทธมนต์คราวนี้ จะเป็นการขัดแก่การกระทำพิธีนี้หรือไม่ครับ” ข้าพเจ้าถามอีก
“ฉันไม่ห้าม” คุณแม่ตอบ
ข้าพเจ้ายกมือเคารพท่าน แล้วจึงกลับไปนั่งที่เดิม และยกมือประณมตั้งสัตยาธิษฐานในใจต่อหน้าพระสงฆ์ ๗ รูป ที่กำลังเจริญพระพุทธมนต์อยู่ว่าขอถวายจตุปัจจัยแด่พระสงฆ์ทั้ง ๗ รูปๆ ละ ๑๐ บาทแล้ว ถ้าศิลากรวดที่ทำอยู่นี้จะศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่แท้แล้ว ขอให้มีผู้ถวายตามข้าพเจ้า จะถวายอะไรก็ได้ ถ้าข้าพเจ้าถวายจตุปัจจัยแด่พระสงฆ์ แล้วไม่มีผู้ถวายตาม นับว่าศิลาที่ทำพิธีอยู่นี้ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์”
จบคำอธิษฐานในใจของข้าพเจ้าแล้วประมาณ ๒ นาที พระสงฆ์เจริญพุทธมนต์จบ
ข้าพเจ้ากับคนทั้งหลายที่นั่น ช่วยกันเอาน้ำร้อนน้ำชาถวายพระเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็ประกาศขึ้นดังๆ พอได้ยินกันทั่วบ้านว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าทั้งหลายที่มาเจริญพระพุทธมนต์ทั้ง ๗ รูป วันนี้ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ท่านไม่ถวายจตุปัจจัยแด่พระคุณเจ้า ข้าพเจ้านายดิส กิจไพบูลย์ ขอถวายจตุปัจจัยแด่พระคุณเจ้าเป็นมูลค่าองค์ละ ๑๐ บาท ได้มอบไว้ให้แก่คุณหลวงวิฑิตกลชัยแล้ว ถ้าพระคุณเจ้าประสงค์สิ่งหนึ่งสิ่งใด โปรดเรียกร้องเอาที่ท่านคุณหลวงวิฑิตกลชัย ซึ่งเป็นกัปปิยการกของพระคุณเจ้านั้นเทอญฯ”แล้วข้าพเจ้าก็คอยฟังว่า จะมีใครถวายตามบ้าง
ตอนนี้เงียบกริบเลย
ข้าพเจ้ารู้สึกใจสั่นระริกทึกทัก ทำท่าจะคิดอะไรใหญ่โตไปแล้ว พอได้สติขึ้นมาก็ปลอบใจตนเองว่า อย่าเพิ่งนึกและคิดอะไรทั้งหมด จงทำใจให้สงบรอดูไปก่อน ครั้นประมาณราว ๓ นาที จึงได้ยินเสียงคุณแม่บุญเรือนเรียกขึ้นว่า “คุณยุทธ เก็บดอกไม้ที่บูชาพระให้ฉัน”
เมื่อคุณแม่บุญเรือนได้ดอกไม้แล้ว ส่งไปทางพวกผู้หญิงให้มัดเป็นกำๆ รวม ๘ กำ แล้วส่งให้ถวายพระ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างมากจนตื้นตันใจ จึงถามออกไปว่า “ดอกไม้นี้ของใคร ใครเป็นผู้ถวาย”
คุณแม่บอกว่า “ของหลวงพ่อพุทโธ” (ท่านหมายถึง พระพุทธรูปองค์เล็กบนที่บูชาองค์หนึ่งซึ่งได้ตั้งชื่อว่า “พุทโธ”)
เมื่อถวายดอกไม้แก่พระสงฆ์แล้ว คุณแม่บุญเรือนพูดกับข้าพเจ้าว่า “ถ้าฉันไม่รู้วาระจิตของคุณดิสแล้ว ศิลาอธิษฐานนี้ต้องเสียหมด คุณดิสคิดอย่างนี้จริงไหมล่ะ”
ข้าพเจ้าอธิษฐานแต่ในใจ คาดว่ารู้แต่เพียงคนเดียว และพระสงฆ์ก็กำลังเจริญพระพุทธมนต์อยู่ คุณแม่บุญเรือนนั่งอยู่ห่างๆ ยังได้ยินเช่นนี้ จึงเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าทราบว่า คุณแม่บุญเรือนรู้วาระน้ำจิตของคน
ช่ออยู่ในดิน
อยู่ต่อมาวันหนึ่ง คุณพี่แกมแก้วได้เล่าให้ดิฉันฟังว่า
คุณป้าบุญเรือนจับกิ่งมะม่วงซึ่งเป็นต้นเล็กๆ ให้ดูที่ยอด และถามว่า
“มะม่วงนี้จะออกช่อได้ไหม”
คุณพี่แกมแก้วบอกว่า “มันจะออกได้หรือ”
คุณป้าบุญเรือนจึงว่า “จะออกไม่ได้เชียวหรือ”
อายุมะม่วงได้เท่าไร ปลูกด้วยเมล็ดหรือตอน” คุณพี่แกมแก้วถาม
คุณป้าบุญเรือนตอบว่า “เป็นมะม่วงเพาะด้วยเมล็ดได้มาจากบ้านคุณหญิงส้มจีน เขื่อนเพชรเสนา แม่สังวาลย์ได้นำมาให้ อายุมะม่วงได้ ๑ ปีกับ ๑ เดือน”
ครั้นพอรุ่งขึ้นอีกหนึ่งวัน ตอนเย็นคุณทัศนีย์ได้มาบอกกับดิฉันว่า “มะม่วงที่บ้านคุณป้าบุญเรือนออกช่อแล้ว”
ดิฉันกับคุณพี่แกมแก้วจึงได้มาดูว่ามันจะออกได้อย่างไร เพราะมันต้นนิดเดียว พอมาถึงก็เห็นยอดเดียวออกได้ถึง ๙ ช่อ ดิฉันจึงหยิบดูมีลักษณะบานสีขาว ได้ดมดูรู้สึกหอมคล้ายดอกพิกุล แต่ส่วนอีกกิ่งหนึ่งช่อได้ออกตามกิ่ง ๓ ช่อ ทางกิ่งทิศเหนือ เป็นมหัศจรรย์ยิ่งนัก ตามปกติมะม่วงต้องมีช่อที่ยอดทั้งนั้น นี่ออกตามกิ่งคล้ายมะไฟ ออกได้ถึง ๓ ช่อ ยาวประมาณ ๗ ซม
พออีก ๕ วันต่อมา ช่อมะม่วงนั้นก็เลยหายไปโดยไม่มีรอยเด็ดเลย ดิฉันจึงได้ถามคุณป้าบุญเรือนว่า ช่อมะม่วงได้หายไปไหนเสีย
คุณป้าบุญเรือนตอบว่า ต้นมะม่วงก็อยู่ในเม็ดมะม่วง ช่อมะม่วงก็อยู่ในต้นมะม่วง ผลมะม่วงก็อยู่ในต้นมะม่วงนั่นเอง ดูตั้งแต่ครั้งพุทธกาลก่อนโน้น พระพุทธเจ้าของเรา พระองค์ทรงทำยมกปาฏิหาริย์ มะม่วงยังออกผลได้เดี่ยวนั้น” พูดเท่านั้นคุณป้าบุญเรือนก็นิ่งไป
ดิฉันยิ่งมีความเลื่อมใสยิ่งขึ้น แต่ยังไม่เชื่อนักเพราะอิทธิฤทธิ์แค่ญาณโลกีย์ก็ทำได้ เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงมาบ่อยครั้งแทบทุกวัน
พอค่ำวันหนึ่ง คุณป้าบุญเรือนได้เรียกดิฉันไปนั่งหน้าบ้านที่บันไดชั้นที่สอง ชี้มือขึ้นไปบนฟ้าให้ดิฉันดู เพราะข้างขึ้นเดือนหงายมีดาวสว่าง มองดูแล้วรู้สึกเหมือนกับเมฆสีขาวลอยอยู่เหนือพระจันทร์ คุณป้าบุญเรือนจึงบอกว่า จะเรียกให้ฝนตกลงมาเอาไหม
ดิฉันจึงตอบว่าให้ตกลงมาเดี่ยวนี้ซี
คุณป้าบุญเรือนบอกว่ามันไกล แล้วคุณป้าบุญเรือนก็ลุกจากบันได เดินไปทางถนนหน้าบ้านประมาณ ๓ นาที แล้วเดินกลับมาบอกดิฉันว่า ได้แล้ว เก็บรองเท้าขึ้นเรือนเสีย
ต่อมาประมาณ ๒ นาที ฝนก็ได้ตกลงมาอย่างเทลงมา ดิฉันชักเลื่อมใสและปีติ นึกว่าคุณป้าบุญเรืลอนมีสัจอธิษฐานบารมีแน่แล้ว เพราะเห็นกับตาตัวเอง
ย่นหนทาง
นางสาววรรณี สุนทรเวช (ได้บันทึกไว้ว่า)
เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๐ ข้าพเจ้าได้รับปริญญา เอม. เอส. อิน เอด สาขาประถมศึกษา จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ณ เมืองเมดิสัน แล้วก็ลงไปดูงานการสอนอ่านแบบ ดวล แอพพรอช อยู่ที่เมืองเออบานาและแชมเปญ มลรัฐอิลลินอยส์
ขณะที่ดูงานอยู่นั้น บังเอิญเป็นหวัดอย่างแรง แล้วกลายเป็นต่อมอักเสบ อาการเป็นมากขนาดลิ้นบวม ขากรรไกรแข็ง รับประทานอาหารไม่ได้เลย
ข้าพเจ้าได้ไปอยู่ที่โรงพยาบาลชื่อโคล ฮอสปิตัล ขณะที่ตรวจอาการหมอถามว่า ถ้าตายจะให้แจ้งข่าวแก่ใคร ข้าพเจ้าพูดไม่ได้จึงเขียนบอกไปว่า ถ้าข้าพเจ้าตายให้แจ้งที่สำนักผู้ดูแลนักเรียน สถานเอกอัครสถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน
ตกกลางคืนอาการมาก ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะตายคราวนี้เอง ก็ระลึกถึงคุณยายบุญเรือน โตงบุญเติม ให้ช่วย
ข้าพเจ้าขณะนั้น เหมือนกับเคลิ้มฝันครึ่งหลับครึ่งตื่น ได้เห็นดวงเขียวๆ แดงๆ ลอยมาในห้องที่พัก แล้วเห็นคุณยายบุญเรือนเข้ามาหา แต่มิได้พูดว่ากระไร ข้าพเจ้าก็รู้สึกสิ้นสติไป
ข้าพเจ้าป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ๓ คืน พอเช้าวันที่ ๔ ก็หายเป็นปกติ สามารถเดินทางด้วยรถไฟจากเมืองแชมเปญ-เออบานา ขึ้นมายังชิคาโก ต่อรถไฟไปลงวอร์เตอร์ทาว แล้วต่อรถเมล์ไปเมืองเมดิสันได้ โดยสามารถลากกระเป๋าเดินทาง ๒ ใบไปได้ด้วย ข้าพเจ้าเชื่อว่าคุณยายบุญเรือนได้ไปหา และช่วยรักษาข้าพเจ้าจึงได้รอดชีวิตมาได้
อนึ่ง ข้าพเจ้าจวนจะกลับบ้าน แล้วจึงมิได้บอกข่าวมากรุงเทพฯ เลย ด้วยเกรงทางบ้านจะเป็นห่วง
ครั้นเมื่อข้าพเจ้ากลับมาถึงกรุงเทพฯ คุณแม่บอกก็เล่าว่า คุณยายบุญเรือนบอกกับผู้ที่มาสวดมนต์วันอาทิตย์ที่บ้านพระโขนงว่า ขอให้สวดมนต์ให้ข้าพเจ้าเพราะเจ็บป่วย คุณแม่ก็นึกว่า คงไม่เป็นอะไรมาก ระยะเวลาที่คุณแม่เล่านี้ ตรงกับที่ข้าพเจ้าป่วยหนัก คุณหมอปรีดาก็ได้เล่าเรื่องที่คุณยายบุณเรือนขอให้ศิษย์สามัคคีวิสุทธิสวดมนต์ให้ข้าพเจ้าฟังด้วย
ข้อความก็ตรงกับที่คุณแม่เล่า
อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม เป็นสตรียอดนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง ของเมืองไทย ท่านมีคุณงามความดี คุณวิเศษต่างๆ และเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยมารยาท คุณธรรมอันสูงส่ง มีอุปนิสัยเปี่ยมด้วยความเมตตา กรุณาปรานีแก่บุคคลที่รู้จักพบเห็นทุกคน
แต่ทว่า ท่านเป็นคนค่อนข้างดุอยู่บ้าง พูดเสียงดังกังวาน เด็ดขาดและจริงจัง หรือนัยหนึ่งก็คือ พูดจริงทำจริงตลอดเวลา เคารพศรัทธาเลื่อมใสในคำสั่ง ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริงจัง เคร่งครัดตลอดเวลา
ท่านฝึกจิตใจและความรู้สึก ให้เป็นผู้เต็มไปด้วยการเสียสละ ไม่นิยมการสั่งสม โปรดการให้เป็นสำคัญ ตัดความรู้สึกด้านโกรธ รัก โลภ และหลง โดยสิ้นเชิง รักการสวดมนต์ ฟังธรรม ถือศีลและภาวนา ฝึกและชำระจิตใจให้สะอาดปราศจากมลทิน
งามบุญตามคติแห่งพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วย การทำทาน ถือศีล การภาวนา สวดมนต์ ฟังธรรม คุณแม่บุญเรือนรัก ศรัทธา เลื่อมใส ได้ปฏิบัติมาอย่างจริงจัง ตั้งแต่อายุเริ่มวัยกลางคน
การทำทาน ไม่ว่าจะเป็นการให้ทานต่อบุคคลธรรมดาทั่วไป หรือการถวายของแก่พระภิกษุสงฆ์ รวมทั้งการถวายอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค คุณแม่บุญเรือน ได้เพียรบำเพ็ญตลอดมาไม่ขาดสาย
การถือศีล คุณแม่บุญเรือนเคร่งครัดในศีล ๕ วันธรรมสวนะยึดมั่นในศีล ๘ แต่ใจชีวิตตอนหลัง ส่วนใหญ่ท่านถือศีล ๕ เป็นประจำ
การบำเพ็ญธรรม เมื่อครั้งออกบวชชีอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ ได้พากเพียรฝึกหัดสมถะวิปัสสนากรรมฐานด้วยความพากเพียร
ปฏิบัติธรรมอยู่ในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ด้วยความกล้าหาญ เข้าใจ ปลอดโปร่งในธรรมะ รักความสงบประกอบการกุศลต่างๆ ช่วยปักหมอน สำหรับธรรมาสน์พระสวดปาติโมกข์
ทรงอภิญญา
ผลจากการบำเพ็ญเพียรกรรมฐาน ทำให้ใจสงบระงับ ฝึกใจให้แข็งแกร่ง กล้ามองเห็นธรรมวิเศษ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนได้บรรลุฌานสมาบัติขั้นฌาน ๔ หรือจุตตถฌาน และทรงอภิญญา ยังผลให้เป็นที่ทราบในหมู่ผู้ร่วมบำเพ็ญกรรมฐานด้วยกัน
ดังนั้น จึงเป็นที่เชื่อกันว่า คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เชี่ยวชาญในกรรมฐาน จนสามารถจะเข้าฌานสมาบัติ เมื่อไรก็ได้ โดยเข้าขณะที่
ลืมตาได้ในฉับพลัน
จากความสำเร็จในฌานสมาบัติ และบรรลุคุณธรรมในด้านวิปัสสนา ทำให้คุณแม่บุญเรือนเป็นนักเสียสละชั้นยอด มีอารมณ์วางเฉยเป็นอุเบกขา สละความโลภ ความอยากได้ในทรัพย์สินต่างๆ โดยสิ้นเชิง
คนที่รู้จักคุณแม่บุญเรือนมาก่อนก็ดี รู้จักใหม่ก็ดี มักจะทราบความจริงอันเป็นคติธรรมข้อหนึ่งว่า คนที่จะไปหาท่านนั้น จงไปหาด้วยการเป็นผู้รับ ส่วนท่านเป็นผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้บริการ ท่านไม่ต้องการสิ่งใดของใคร แม้แต่ดอกไม้ธูปเทียนและทรัพย์สิน เงินทองใดๆ ทั้งสิ้น ผู้ใดจะเป็นผู้ให้ท่านได้ ก็ต่อเมื่อท่านอนุญาตแล้ว ด้วยลักษณะดังกล่าวนี้ จึงจัดว่า ท่านเป็นนักบุญชั้นเยี่ยมยอดอันหาได้ยากยิ่ง
รับแล้วโอนกลับ
หลังจากที่คุณแม่บุญเรือน ได้เที่ยวแจกจ่ายธรรมอบรมผู้คนไปในที่ต่างๆ ตลอดจนช่วยสงเคราะห์รักษาโรคภัย ให้ประชาชนจนวัยล่วงเลยเข้าสู่ชราภาพ เป็นที่ยกย่องสรรเสริญทั่วไปอย่างกว้างขวางทั่วทุกสารทิศ
คุณหลวงแจ่มวิชาสอน เจ้าของบริษัท ยาสีฟันวิเศษนิยม ได้สร้างบ้านใหม่เป็นอาคารไม้หลังใหญ่ มีบริเวณกวางขวางขึ้นที่พระโขนง เพื่อมอบให้เป็นที่ปฏิบัติธรรมของคุณแม่บุญเรือน
คุณหลวงแจ่มวิชาสอน ได้เชิญคุณแม่บุญเรือนมาอยู่บ้านใหม่แห่งนี้ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๔๙๙ ได้ทำพิธีเปิดป้ายบ้านในวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ คุณแม่บุญเรือนได้อยู่บ้านนี้ตั้งแต่วันดังกล่าว จนกระทั่งถึงวัน
วายชนม์
บ้านใหม่นี้ คุณหลวงแจ่มวิชาสอน มอบกรรมสิทธิ์ให้ท่าน เมื่อคุณแม่บุญเรือนรับแล้ว ก็ได้โอนกลับไปให้แก่ทายาทของคุณหลวงแจ่มวิชาสอน ทันที แสดงให้เห็นถึงว่า ท่านไม่ปรารถนาทรัพย์ภายนอก ท่านขออยู่ไปเพียงตลอดชีวิตเท่านั้น
ไม่ทำเพื่อตนเองในระยะประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ คุณแม่บุญเรือนเริ่มเจ็บป่วย แต่ต่อมาก็ได้หายเป็นปกติ ครั้นต่อมาประมาณ เดือน มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๗ ท่านมีอาการป่วยโรคไต หัวใจอ่อน โลหิตจาง และความดันโลหิตสูง ติดต่อกันมาตามลำดับ มีแต่อาการทรงกับทรุด ไม่ยอมรับรักษาของแพทย์ เช่น นายแพทย์ปรีดา ล้วนปรีดา และแพทย์หญิงวัฒนา ดวงจันทร์ ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิด ได้เคยอ้อนวอนเพื่อทำการรักษา โดยฉีดยา ให้น้ำเกลือและกลูโคส และอ้อนวอนขอให้รับประทานยาแผนปัจจุบันบ้าง เป็นครั้งคราว แต่คุณแม่บุญเรือนก็ไม่ยอม นานๆ จึงจะยอมตามใจแพทย์สักครั้งหนึ่ง จะพาไปโรงพยาบาลท่านก็ไม่ไป ท่านต้องนอนป่วยลุกนั่งไม่ได้เป็นเวลา ๙ เดือน
บรรดาศิษย์ทุกคน ได้กราบอ้อนวอนท่านว่า คุณแม่เคยอธิษฐานธรรมด้วยสัจวาจารักษาโรคร้ายของลูกๆ และคนอื่นให้หายได้ ทำไมเล่าคุณแม่จึงไม่อธิษฐานเพื่อตนเองเสียบ้าง
คุณแม่บุญเรือนได้ตอบว่า“ถ้าแม่อธิษฐานเพื่อตนเอง ก็เท่ากับแม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากมีความสุข อยากพบสิ่งใหม่ๆ บนพื้นพิภพซึ่งล้วนเป็นกิเลสทั้งนั้น แม่ทำเช่นนั้นไม่ได้
อันว่า สังขาร ร่างกาย และใจ หรือขันธ์ห้านี้ ไม่ใช่ตัวของเรา มันเป็นเพียงเครื่องอยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น เป็นเรือนทุกข์ แม่ต้องการออกไปจากเรือนทุกข์นี้”
นี่ เป็นคำกล่าวอันยิงใหญ่อย่างแท้จริง ผู้ที่ปฏิบัติธรรมเข้าถึงธรรม ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งเท่านั้น ถึงจะกล่าวสัจธรรมเช่นนี้ได้
การวางสังขารทิ้งร่าง ของคุณแม่บุญเรือน ตรงกับเวลาที่ท่านให้หยุดนาฬิกาเรือนใหญ่ไว้ เท่ากับท่านรู้วาระที่จะจากโลกนี้ไป
เมื่อท่านวายชนม์แล้ว บรรดาคณะสามัคคีวิสุทธิ ที่ได้รับแจ้งข่าวและทราบข่าว ต่างหลั่งไหลมากราบศพ แสดงความเคารพ ร่วมบำเพ็ญกุศลฟังพระอภิธรรม ที่บ้านพระโขนงทุกวันและทุกคืน
ได้ร่วมแห่กระบวนศพ วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๐๗ ตอนบ่าย ๑๓.๐๐ น. ไปวัดธาตุทอง และร่วมบำเพ็ญกุศลที่วัดธาตุทองจนถึงวันที่ ๑๓ เดือนเดียวกัน และต่อมาทุกวันอาทิตย์อย่างคับคั่งตลอดมา
จนกระทั่งวันที่ ๒๓, ๒๔ และวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๗ อันเป็นวันประชุมเพลิง รวมสิริอายุของท่านได้ ๗๐ ปี


แม่นางกวัก มงคลมหาลาภ เนื้อดิน คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
ออกวัดสารนาถธรรมาราม จ.ระยอง ปี ๒๔๙๙
( ลงโชว์เพื่อการศึกษา)
พระผงมงคลมหาลาภนี้ สร้างในงานฉลอง”พระพุทโธภาสชินราชจอมมุนี” หรือ”พระพุทโธใหญ่”ที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมสร้างถวายเป็นพระประธานประจำพระอุโบสถ วัดสารนาถธรรมาราม อ.แกลง จ.ระยอง ของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ในสมัยนั้น ท่ามกลางเหตุปาฏิหาริย์มากมาย(จะได้กล่าวต่อไปในภายหลัง)
ผงโสฬสมหาพรหมที่นำมาสร้างพระผงมงคลมหาลาภ เกิดจากการใช้วิชาพรหมศาสตร์อัญเชิญพรหมอริยะชั้นโสฬส(สุทธาวาส) และพระผู้เป็นเจ้าของทั้ง 3 ศาสนา(พราหมณ์,คริสต์,อิสลาม) พระอริยคุณาธาร(ปุสโส เส็ง) และท่านผู้รู้ต่างๆกล่าวตรงกันว่า แท้จริงแล้ว “พระเจ้า”หรือ”พระผู้เป็นเจ้า”เหล่านี้ ก็เป็น”พระเถระ”ของ”พุทธ” ที่เดินทางไปเผยแพร่ศาสนาตามสถานที่ต่างๆ แล้วคนรุ่นต่อมามาตีความดัดแปลงไปตามความเชื่อส่วนตัวของศาสดานั้นๆ จนเคลื่อนจากหลักเดิมไป
พระเครื่องของคุณย่าเด่นด้านโภคทรัพย์ โชคลาภ เงินทอง. วัตถุมงคลของคุณแม่บุญเรือน คือ ปฐวีธาตุหรือศิลาน้ำ (หินหรือกรวดใต้น้ำ) มีสรรพคุณครอบจักรวาล รักษาโรคภัย ตลอดจนคุ้มครองรักษาผู้มีติดตัวไป
กราบคุณย่าบุญเรือน โตงบุญเติม
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการทำงานใน
พบเจอแต่สิ่งดีดีตลอดวัน ขอบารมีคุณย่าบุญเรือน โตงบุญเติม
อนุเคราะห์ให้ทุกท่านมากมีความสุข ไร้ทุกข์นานา
เพียบพร้อมด้วยเงินตรา ไหลมาเทมาไม่ขาดสาย
จะเดินทางไปที่ใด จงปลอดภัยจากอันตราย มีแต่ความสุขมิรู้วาย
ให้สุขสบายในทุกวัน ราชการให้งานเลิศ เกิดผลประโยชน์นานาสารพัน ให้เลื่อนตำแหน่งโดยเร็วพลัน ให้ทุกท่านจงเจริญเฟื่องฟูชูเกียรติล้ำทุกวันสาธุ
สำหรับผู้เขียนแล้ว : ลงเพื่อประกอบในการศึกษา เพราะองค์นี้พระของเจและน้ำ (ไม่มีราคาลงให้ศึกษา ) เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาเเก่ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า เเละพ่อเเม่ ครูอาจาร์ย ทุกพระองค์